|
Post Number: 11
|
เก็จแก้ว 
กลางเก่ากลางใหม่

   
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 486
เข้าร่วมเมื่อ: 24 May 2006
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 10 Apr. 2007,06:50 |
|
 |
รักษาผิวด้วยกากชา
ชาดอกคาโมมายเป็นที่นิยมใช้เพื่อรักษาผิวเกรียมแดด ใช้เป็นอาหารหรือใช้ดื่ม บางคนก็ชงชาแล้วปล่อยให้เย็น จากนั้นจึงเอาชาทาหน้า หรือบริเวณที่มีอาการผิดปรกติ ระหว่างนั้นก็นั่งพักผ่อนดื่มชาที่เหลือ
ชาทุกชนิดใช้รักษาผิวให้หายระคายเคืองได้ ชงชาผงสองถุงในน้ำเดือด ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ใช้ถุงชาแทนฟองน้ำ นำถุงชาแตะๆหน้า จุ่มถุงชาในน้ำชาทุกๆ 5 นาที ซับหน้าให้แห้ง ชาราคาถูกมีกรดแทนนิคอยู่เป็นปริมาณมาก กรดชนิดนี้จะมีเปลือกไม้และพันธุ์ไม้บางชนิด กรดชนิดนี้ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองตามผิวหนัง ฉะนั้นยิ่งชาราคาถูกเท่าไรก็ยิ่งใช้รักษาผิวได้ดีมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ใช้รักษาผิวคัน
ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามแนะนำวิธีรักษาผิวคัน ดังนี้.-
- บดแอสไพรินให้ละเอียดผสมน้ำแล้วพอกบริเวณที่บวม
- นำน้ำแข็งหรือของเย็นๆทาผิวหนังส่วนที่รู้สึกคัน
- โรยแป้งข้าวโพดตรงบริเวณที่เป็นผื่นแดง
- ใช้แป้งที่ทำจากข้าวโอตผสมน้ำจนข้นหรือผงฟูทาบริเวณผิวหนังที่มีอาการคัน
- ผสมผงที่ทำให้เนื้อนุ่ม(ที่ไม่ได้ใส่รส) กับน้ำจนมีลักษณะเป็นแป้งข้นๆทาบริเวณที่มีแมลงต่อย หรือกัด
- ใช้ยางจากว่านหางจระเข้ หักใบว่านหางจระเข้ให้น้ำไหลออกมาแล้วใช้ทาบริเวณผิวที่คัน งานวิจัยที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยรัฐเท็กซัสในซานอันโตนิโอแสดงว่า ว่านหางจระเข้จะใช้ได้ผลดีถ้าใช้สดๆ นักวิจัยยืนยันว่า น้ำจากว่านหางจระเข้ที่ผ่านกระบวนการผลิตแล้วกลับไม่มีคุณค่าในการรักษา
- ใช้แป้งฝุ่นโรยตัวเพื่อไม่ให้เป็นผื่นคันในยามที่อากาศร้อน
- ป้องกันรอยผื่นคันที่เกิดจากเครื่องประดับที่เป็นโลหะ โดยนำสีทาเล็บแบบใส ไม่มีสี เคลือบเครื่องประดับดังกล่าว
เถาไม้พิษ
บางครั้งอาจเกิดผื่นคันโดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องเถาไม้ใดๆโดยตรง บางครั้งแค่สัมผัสกับสิ่งต่างๆที่สัมผัสกับเถาไม้ดังกล่าวมาแล้ว เช่น ล้อจักรยานที่ถีบผ่านเถาไม้ที่ทำให้เกิดอาการคัน สุนัข หรือแมวอาจไปโดนเถาไม้ดังกล่าวมา แล้วเราไปอุ้มหรือสัมผัสเข้าด้วย จะกรณีใดก็ตามรีบล้างน้ำแล้วฟอกสบู่ให้ทั่ว หรืออาบน้ำเลยก็ได้ อย่าลืมทำความสะอาดเล็บด้วย ให้ระมัดระวังทุกอย่าง รวมทั้งเสื้อผ้าที่ถูกเถาไม้ที่ทำให้เกิดอาการคันดังกล่าว จับสัตว์เลี้ยงอาบน้ำถ้ามันไปถูกเถาไม้พิษดังกล่าว อย่าลืมใส่ถุงมือขณะอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงด้วย
ถ้าถูกเถาไม้ที่ทำให้คันแล้วอาจแก้ไขได้โดย นำผ้าจุ่มน้ำเกลือ(ใช้เกลือหนึ่งช้อนชาผสมน้ำอุ่นประมาณเศษหนึ่งส่วนห้าแกลลอน) หรือใช้กรดบอริคเจือจางทาบริเวณที่คัน น้ำเย็นจัดๆ นม คาลาไมน์ หรือการอาบน้ำอุ่นก็ช่วยได้ถ้าอาการระคายเคืองไม่รุนแรง
โปรดจำไว้ว่า อาการคันเช่นนี้อาจถึงกับทำให้เกิดการอักเสบได้ ถ้ามีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
การดูแลอย่างนุ่มนวลช่วยให้ผิวสวย
ถึงแม้จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้า ก็ควรจะทำความสะอาดและดูแลผิวอย่างถูกต้อง ผู้หญิงมักจะแต่งหน้าหรือล้างหน้าโดยถูแรงๆ ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อของผิวหน้าชอกช้ำและเกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนที่จะทันรู้ตัว
หลีกเลี่ยงอากาศร้อนหรือหนาวจัด
การปล่อยให้ผิวถูกแดดร้อนจัดหรืออากาศหนาวจัดเกินไปนั้น จะทำให้เส้นเลือดเสียหาย ถ้าต้องอยู่กลางแจ้งในฤดูหนาวเป็นระยะเวลานานๆ ควรป้องกันผิวด้วยน้ำยาให้ความชุ่มชื้น และอย่าลืมทาครีมกันแดด เพราะแสงแดดในหน้าหนาวก็เป็นอันตรายต่อผิวไม่แพ้แสงแดดในฤดูร้อนเลย เวลาอากาศหนาวๆ ยิ่งจำเป็นต้องทาโลชั่นป้องกันผิวทั้งตัว เครื่องทำความอุ่นภายในอาคารก็ทำให้ผิวของคุณแห้ง นอกจากนี้เครื่องปรับอากาศและ อากาศเทียม บนเครื่องบินก็ทำให้ผิวคุณแห้งผาก ใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาผิว
การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
การหาครีมหรือน้ำยาให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะกับเราที่สุดนั้นไม่ใช่ของง่าย ยี่ห้อต่างๆยิ่งทำให้สับสน ลองศึกษาเรื่องครีมให้ความชุ่มชื้นต่อไปนี้
ส่วนประกอบของครีมหรือน้ำยาให้ความชุ่มชื้นส่วนใหญ่จะประกอบด้วย น้ำมัน น้ำ และสารที่เติมลงไปเพื่อช่วยให้น้ำและน้ำมันไม่แยกตัวจากกัน ถ้าส่วนประกอบของน้ำมีมากกว่าน้ำมันก็จะเรียกว่าโลชั่น ถ้ามีน้ำมันมากกว่าน้ำก็จะเรียกว่าครีม โลชั่นจึงเหมาะสำหรับคนผิวมัน และครีมเหมาะสำหรับคนผิวแห้ง
ครีมหรือโลชั่นให้ความชุ่มชื้นผิวหน้าอย่างๆไร?
ครีมหรือโลชั่นให้ความชุ่มชื้นจะเก็บความชุ่มชื้นไว้ในชั้นน้ำมันบางๆ ทำให้ผิวไม่แห้งและไม่เหี่ยวย่น
ส่วนประกอบต่างๆที่คุณจะพบได้ในครีมหรือโลชั่นให้ความชุ่มชื้นที่มีขายอยู่นั้น ได้แก่ เยลลีปิโตรเลียม และลาโนลิน(เป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ป้องกันผิวได้ดีที่สุด) น้ำมันจากแร่ธาตุยูเรีย กรดสเตียริคหรือกรดแลคติค และสควอลีน(สกัดจากน้ำมันตับปลา) ยูเรีย กรดแลคติคและสควอลีนเป็นสารที่พบได้ในผิวหนังและเหงื่อของคน ถึงแม้ว่าลาโนลินจะให้ความชุ่มชื้นดีมาก แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นสิว
เยลลีปิโตรเลียมให้ความชุ่มชื้นได้ดีมาก และใช้ได้กับผิวส่วนใหญ่ ผู้หญิงบางคนจะให้น้ำมันมะกอกทาหน้าขณะอาบน้ำ
น้ำ
ทราบหรือไม่ว่าน้ำเป็นสิ่งที่ให้ความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด น้ำทั้งภายนอกและในตัวเราเป็นประโยชน์ต่อผิวหนังทั้งสิ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามแนะนำให้ดื่มน้ำวันละห้าถึงหกแก้วเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจากภายใน น้ำดื่มก็เป็นน้ำสะอาดธรรมดาๆ
ควรจัดบรรยากาศในบ้านให้มีความชุ่มชื้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คงไม่ถึงกับต้องซื้อเครื่องทำความชื้น อาจทำได้ง่ายๆโดยตั้งน้ำให้ไฟรุมๆไว้บนเตาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง(น่าจะเติมกลิ่นอบเชย หรือบุหงาลงไปให้หอมกรุ่นทั้งบ้าน) หรือหาภาชนะสวยๆตั้งไว้ให้ทั่วบ้าน น้ำที่ใส่ไว้จะได้ระเหยให้ความชุ่มชื้นไปทั่วบ้าน
ปลูกต้นไม้ให้ความชุ่มชื้น
ต้นไม้ใบหญ้าให้ความชุ่มชื้นได้ดี ต้นไม้ที่ต้องการน้ำมากๆ และโตเร็วนั้นดีที่สุด เช่น เฟิร์น ไผ่ และอื่นๆ รดน้ำและฉีดน้ำเป็นละอองบ่อยๆเพื่อให้ดินชุ่มชื้น การปลูกต้นไม้ใส่กระถางตื้นๆ และโรยกรวดหรือปลูกมอสส์ไว้ข้างบนจะช่วยเก็บความชื้นไว้ได้
ฉีดน้ำต้นไม้และผิวของคุณ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามหลายคนแนะนำว่า ควรฉีดน้ำใส่หน้าเหมือนกับที่ฉีดน้ำต้นไม้ อาจทำทันทีหลังจากฉีดน้ำให้ต้นไม้แล้วก็ได้ หรืออาจใช้ก้อนหรือแผ่นสำลีชุบน้ำแตะๆหน้าในขณะที่เดินทางก็ควรใช้วิธีดังกล่าว
ผิวแห้งเนื่องจากใช้สบู่ซักล้างหรือผงซักฟอก
การใช้ผงซักฟอกมากเกินไปอาจทำให้ผิวคุณแห้งได้ เนื่องจากผงซักฟอกที่ยังตกค้างอยู่ในเส้นใยของเสื้อผ้า ในหน้าหนาวควรลดปริมาณผงซักฟอกลงให้เหลือเพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ของคำแนะนำของผู้ผลิต ผงซักฟอกที่เป็นเอนไซม์ ผงฟอกสี และกัดสีให้ขาวนั้นล้วนแต่เป็นต้นเหตุของปัญหาผิวหนัง ในหน้าร้อนควรล้างคลอรีน และเกลือออกให้หมดทุกครั้งที่ขึ้นจากสระน้ำหรือทะเล
การให้ความชุ่มชื้นขณะอยู่บ้าน
ข้อควรปฏิบัติ
- ทำความสะอาดผิวให้ถูกต้องตามประเภทของผิว
- ใช้ผ้าขนหนู ฟองน้ำ หรือที่เช็ดๆเซลล์เก่าๆให้หลุดไป
- ใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาหน้าทันทีที่ล้างหน้าเสร็จ เพื่อไม่ให้น้ำระเหยแห้งหมด
- จัดการเสริมความชุ่มชื้นเช่นนี้ในเวลากลางวันด้วย
ถ้าได้พยายามปฏิบัติตามคำแนะนำแล้ว แต่ยังมีปัญหาผิวอยู่ก็ควรปรึกษาแพทย์
มีลาสมา
มีลาสมา หมายถึง รอยคล้ำใต้ดวงตา ข้างๆจมูก และบริเวณอื่นๆ เป็นอาการที่มักเกิดขณะตั้งครรภ์ หรือขณะที่รับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งอาจใช้ครีมหรือโลชั่นไฮโดรควิโนนทาให้หายคล้ำได้ มีข้อควรระวังคือ ขณะที่ใช้ครีมนี้จะต้องไม่ให้ผิวโดนแดดเพราะจะทำให้ผิวเสียได้ อย่างไรก็ตามถ้ามีรอยคล้ำๆ หรือเป็นฝ้าเช่นนี้ ก็ต้องระวังไม่ให้โดนแดดเลย เพราะจะยิ่งทำให้มีอาการมากขึ้น
กัดสีผิว
ใช้น้ำมะนาวกัดสีผิว ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมครั้งกรีกโบราณ โดยหยดน้ำมะนาวไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการจะให้สีจางลง ประมาณสิบห้านาที
วิทิลิโก
วิทิลิโก หมายถึง บริเวณที่สีเปลี่ยนไป อาจจะเป็นที่ผิวหนัง หรือผมเป็นหย่อมๆก็ได้ สาเหตุอาจเกิดจาก ขณะที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ เซลล์ที่ผลิตสารสีไม่ทำงานในบริเวณนั้น ยิ่งถ้าโดนแดดเผา จะเกิดอาการอักเสบ เจ็บป่วย หรือแม้แต่ปัญหาทางด้านอารมณ์ ก็ทำให้เกิดอาการผิวด่าง หรือผมหงอกเฉพาะแห่งได้ คงจะหาสาเหตุที่แน่นอนเกี่ยวกับการที่ผิวเปลี่ยนสีและผมหงอกไม่ได้แต่ก็ยังมีผู้ทำวิจัยเรื่องนี้อยู่
การทำให้ผิวมีสีเหมือนเดิมนั้นก็มีอยู่ แต่ใช้ได้ผลดีกับบางคนเท่านั้น โดยเฉพาะเด็กๆ และผู้ที่มีอายุน้อยที่เพิ่งจะเริ่มมีอาการนี้น้อยกว่าห้าปี การรักษาผิวด่าง หรือผมหงอก นั้น ใช้เวลามาก ต้องใช้ยาและการกำหนดให้โดนแดดมากน้อยอย่างเคร่งครัด ผู้ที่แพ้แสงแดดก็จะรับการรักษาไม่ได้
การพอกหน้าเป็นเรื่องดีเยี่ยม
การพอกหน้าช่วยให้การหมุนเวียนของโลหิตดีขึ้น ทำให้สีผิวดีขึ้น รวมทั้งยังขจัดน้ำมัน รอยสกปรก และเซลล์ตายออกด้วย พอลอกเครื่องพอกหน้าออก คุณจะต้องให้ความชุ่มชื้นแก่ใบหน้าด้วย เพราะตัวยาพอกหน้าไม่มีสารให้ความชุ่มชื้น
การพอกหน้าหรือนวดหน้านั้น นอกจากจะทำให้ใบหน้าดูดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการพักผ่อนที่ดีอีกด้วย
สถานนวดหน้าต่างๆคิดค่าบริการแพง เราอาจจะทำเองที่บ้านก็ได้ สูตรพอกหน้าต่อไปนี้เหมาะสำหรับผิวหนังแทบทุกประเภท แต่ต้องมั่นใจว่าคุณมีผิวที่สะอาดแล้ว และหลีกเลี่ยงบริเวณรอบๆดวงตา
น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นสิ่งที่ใช้ล้างหน้าและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ดี ควรทาหน้าด้วยน้ำผึ้ง หลังจากที่ทำความสะอาดและอบไอน้ำแล้ว ทาน้ำผึ้งทิ้งไว้ประมาณสามนาที (บางคนก็ชอบทิ้งไว้ถึงสิบนาที) จนประทั่งรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ จากนั้นค่อยๆใช้นิ้วตบหน้าเบาๆให้ทั่ว ไม่ต้องนวดบริเวณรอบดวงตา จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น และใช้ผ้าขนหนูเปียกๆเช็ดออกให้สะอาด
น้ำผึ้งทำความสะอาดรูขุมขนบนใบหน้าจนสามารถรู้สึกว่าหน้าตึง และอาจช่วยขจัดรอยสิวเสี้ยนดำๆด้วย น้ำผึ้งช่วยให้หน้าสะอาดและอ่อนนุ่ม มิหนำซ้ำน้ำผึ้งยังหาได้ง่ายๆ
ส่วนผสม ผสมน้ำผึ้งหนึ่งช้อนชากับน้ำหกช้อนโต๊ะ ใส่เปลือกส้มบดสองช้อนโต๊ะและน้ำส้มสายชูสองช้อนโต๊ะ ทีนี้คุณก็ได้น้ำยาล้างหน้าที่ใช้ได้กับผิวทุกประเภท
ลองผสมไข่ขาวและไข่แดงหนึ่งฟองกับน้ำผึ้งจนข้นเหนียว จากนั้นนำส่วนผสมนี้ไปทาหน้า ปล่อยทิ้งไว้ให้แข็ง ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนเกลี้ยง จากนั้นใช้น้ำเย็นลูบให้ผิวหน้าสดชื่น
ปรับสีผิว
หั่นมะนาวทั้งลูกและบดให้ละเอียด ใส่น้ำมันจมูกข้าวสาลีลงไปประมาณครึ่งช้อนชา ใส่น้ำแร่ลงไปอีกครึ่งถ้วย เติมน้ำแข็งลงไปสองก้อน ปั่นในเครื่องปั่นผลไม้ จากนั้นให้ใช้ก้อนสำลีจุ่มๆแล้วทาผิวที่ล้างสะอาดแล้ว
ครีมล้างหน้าที่ทำจากถั่ว
นำเม็ดอัลมอนด์ผสมกับน้ำวิทช์เฮเซิลจนข้นเหนียว นำมาทาหน้าแล้วขัดค่อยๆ เว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณยี่สิบนาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างหน้า อาจจะดูเลอะเทอะ แต่ก็ช่วยให้ผิวหน้าและรูขุมขนสะอาด
ครีมพอกหน้าจากผลแอปริคอท
ลองครีมพอกหน้าที่น่าดื่มดูบ้าง นำลูกแอปริคอทแห้งๆใส่ในน้ำเดือด ปิดฝาแล้วทิ้งไว้หนึ่งคืน จากนั้นนำผลแอปริคอทเข้าเครื่องปั่นพร้อมๆกับองุ่นไม่มีเมล็ดอีกสิบผล ค่อยๆโรยนมผงให้ส่วนผสมข้นขึ้น นำส่วนผสมนี้ทาให้ทั่วหน้าและคอ ทิ้งไว้ประมาณสิบสองถึงสิบห้านาที จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
ครีมพอกหน้าไข่ขาว
ตีไข่ขาวสองฟองให้ขึ้นแข็ง ทาให้ทั่วหน้าและคอ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ล้างด้วยน้ำเย็น ไข่ขาวจะทำให้รูขุมขนบนใบหน้ากระชับขึ้น
ครีมพอกหน้าจากนมแมกนีเซีย
ล้างหน้าและคอ จากนั้นทาด้วยนมแมกนีเซีย เว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้สิบห้านาที ทานมแมกนีเซียเพิ่มอีก แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นเช็ดออก ล้างให้สะอาดอีกครั้งด้วยน้ำอุ่น ใช้ก้อนสำลีแตะน้ำมันมะกอกอุ่นๆเช็ดหน้า ทิ้งไว้ห้านาที และเช็ดน้ำมันส่วนเกินออก นมแมกนีเซียช่วยรักษารอยแผลหรือตำหนิต่างๆได้ดี นายแพทย์ผู้หนึ่งเล่าว่า โรงพยาบาลบางแห่งใช้นมแมกนีเซียรักษาแผลคนไข้ที่เกิดจากการนอนท่าเดียวนานๆ
เติมอาหารให้ใบหน้า
หลังจากล้างหน้าให้สะอาดแล้ว ให้พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต นำส่วนผสมนี้ทาให้ทั่วหน้า คอ ไหล่ และมือ ล้างออกด้วยน้ำเย็น
คอกับคาง
อย่าลืมบริเวณคอและใต้คาง ผิวบริเวณคอบอบบางและย่นง่ายเท่ากับใบหน้า ล้างหน้าให้สะอาดและทาผิวให้ชุ่มชื้น เนื่องจากคอไม่มีต่อมน้ำมัน เราจึงยิ่งต้องดูแลรักษา เช่น ทาน้ำยาให้ผิวตึงและสารให้ความชุ่มชื้น
ครีมทาคอ
เราสามารถทำครีมทาคอเองได้ ใส่สารส้มเศษหนึ่งส่วนสี่ช้อนชาลงในขวดครีมล้างหน้าขนาดแปดออนซ์ สารส้มมีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ฉะนั้นอาจใช้ครีมนี้ทาหน้าอกก็ได้
ขณะที่ทาครีมนี้ตามคอ ให้ทาเบาๆ มือวนขึ้น และวนออกไปเรื่อยๆ
ลอกผิว
ใส่เกลือหนึ่งช้อนโต๊ะลงในน้ำร้อน แต่ไม่เดือดหนึ่งถ้วย ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย แล้วนำไปถูเบาๆตรงรอยเหี่ยวย่นรอบๆปาก คางและคอ อย่าทาบริเวณรอบๆดวงตา
ครีมชั้นยอด
ผสมเนยโกโก้ น้ำมันงาและลาโนลินอย่างละสามช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอกสองช้อนโต๊ะและน้ำมันดอกคำฝอยหนึ่งช้อนโต๊ะ เข้าด้วยกันแล้วนำขึ้นตั้งไฟ คนส่วนผสมต่างๆให้เข้ากัน เติมกลิ่นคาโมมาย(ถ้าชอบ) เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วก็ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงใช้ทาหน้า
ครีมสะระแหน่ทาผิวให้สดชื่น
นำสะระแหน่หนึ่งช้อนโต๊ะกับนมหนึ่งถ้วยขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ อย่าให้เดือด ประมาณห้านาที ปิดไฟ แล้วยกหม้อลงวางไว้ ปิดฝาแล้วทิ้งไว้ให้เย็นประมาณหนึ่งชั่วโมง กรองสะระแหน่ออก เติมน้ำผึ้งสองช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันดี ฟังดูน่ารับประทาน แต่เอาไปทาหน้าดีกว่า
ผักบำรุงผิว
หั่นแตงกวาเย็นๆให้เป็นแว่นๆ แล้วนำไปวางบนเปลือกตาก่อนที่คุณจะนอนเล่น หรือจะเอามะเขือเทศดิบผลฉ่ำหั่นเป็นแว่น แล้วแปะให้เต็มหน้าก่อนที่จะพักผ่อน ทิ้งไว้ประมาณสิบห้านาที จะรู้สึกสดชื่นจริงๆ
อบไอน้ำให้ใบหน้า
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าครีมพอกหน้าจะได้ผลดีที่สุดถ้าได้อบไอน้ำเสียก่อน อาจใช้วิธีง่ายๆก็ได้ คือ รินน้ำร้อนใส่ก่อน โพกผ้าขนหนูให้เหมือนกระโจม แล้วยื่นหน้ารับไอน้ำจากอ่างประมาณไม่เกินห้านาที หรืออาจจะใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำร้อนแล้วเช็ดหน้า ทำแบบนี้อยู่ประมาณห้านาที หรือเอาผ้าขนหนูชื้นๆไปใส่เตาอบไมโครเวฟ ลองแตะดูก่อนจะเช็ดหน้า ควรระวังอย่าให้ร้อนเกินไป
ผิวจะเป็นผู้บอกเองว่า เราควรจะปฏิบัติอย่างไร ถ้าผิวถลอกและแห้ง แสดงว่าคุณถูหน้าแรงเกินไป และวุ่นวายกับหน้ามากเกินไป โดยทั่วๆไปถ้าผิวแห้งควรจะอบไอน้ำแค่สัปดาห์ละครั้ง หรือถ้าผิวแห้งมากๆก็ควรจะอบไอน้ำทุกสองสัปดาห์ก็พอเพียง ผิวมันจะอบไอน้ำได้บ่อยครั้งกว่า ผู้ที่มีผิวผสมอาจอบไอน้ำได้สัปดาห์ละครั้งในบริเวณที่แห้ง ส่วนบริเวณที่มันก็ควรจะอบไอน้ำประมาณสัปดาห์ละสามครั้ง อย่าลืมว่าต้องใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นผิวทุกครั้งหลังอบไอน้ำ
--------------
|
 |
|
|
Post Number: 12
|
เก็จแก้ว 
กลางเก่ากลางใหม่

   
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 486
เข้าร่วมเมื่อ: 24 May 2006
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 11 Apr. 2007,05:55 |
|
 |

วิธีการซื้อและเก็บเครื่องสำอาง
ผู้ผลิตกล่าวว่า เมื่อเครื่องสำอางมีปัญหานั่นเป็นเพราะผู้ใช้ๆผิดๆ ตัวอย่างเช่น การปล่อยให้เครื่องสำอางโดนความเย็นจัด ร้อนจัด หรือแสงสว่างจัดเกินไป ทอนอายุของเครื่องสำอางส่วนใหญ่ เครื่องสำอางที่เปิดแล้วจะดีอยู่ได้หนึ่งปีถ้าผู้ใช้ไม่ทำให้สกปรก ผู้ผลิตเครื่องสำอางส่วนใหญ่กล่าวว่า เครื่องสำอางไม่ควรเก็บไว้นานเกินสองหรือสามปี แม้จะเก็บอย่างเหมาะสม
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
- อย่าซื้อเครื่องสำอางที่แกะกล่อง หรือมีร่องรอยว่ามีใครไปแตะต้องแล้ว แม้ว่าราคาจะถูกเพียงใด
- หลังจากเปิดเครื่องสำอาง ถ้าพบว่ามันมีกลิ่นประหลาด แลดูแห้ง หรือแลดูแปลกๆให้เอาไปคืนเสีย
- ให้ใช้เครื่องสำอางเมื่อใบหน้าสะอาด โดยใช้มือที่สะอาด และปิดฝาให้สนิท เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
- ให้ผสมเครื่องสำอางให้พอใช้ต่อครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการผสมรองพื้นสองสีเข้าด้วยกัน ให้เทผสมในฝ่ามือในปริมาณที่ต้องใช้เพียงครั้งเดียวแทนที่จะเทจากขวดหนึ่งลงไปผสมในอีกขวดหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ควรผสมให้มากกว่าปริมาณที่จะใช้ต่อครั้งก็คือ สีที่ผสมขึ้นใหม่อาจไม่ใช่สี่ต้องการก็ได้ ซึ่งถ้าเป็ฯเช่นนั้นจะกลายว่าเราทำให้รองพื้นสองขวดเสียไป แทนที่จะเป็นแค่อุ้งมือเดียว แน่นอนถ้าเหลือเครื่องสำอางติดก้นขวดแต่ละขวดเพียงเล็กน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการปนเปื้อน เพราะคงจะใช้หมดในเวลาอันรวดเร็ว
- เมื่อทดสอบเครื่องสำอางในร้านให้ลองกับฝ่ามือ อย่าลองกับริมฝีปาก หรือตาเป็นอันขาด
- อย่าใช้เครื่องสำอางกับผิวแตกหรือคัน ให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางบริเวณที่แผลแสบหรือผื่นคันที่เกิดจากเส้นเลือดขอด
- อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกัน เพราะอาจเป็นบ่อเกิดของเชื้อแบคทีเรียหลายประเภท ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านกล่าวว่า เป็นไปได้ที่เชื้อเริมสามารถติดต่อกันได้ด้วยการใช้ลิปสติคร่วมกัน จึงไม่ควรใช้เครื่องสำอางสำหรับทดลองตามร้านกับริมฝีปากหรือเปลือกตา เพราะเท่ากับเป็นการเชื้อเชิญโรคติดเชื้อที่เกิดจากจุลินทรีย์หรือเชื้อไวรัสที่ผู้ทดลองใช้คนอื่นทิ้งไว้ให้ - อย่าเก็บเครื่องสำอางไว้บนขอบหน้าต่าง บนเครื่องทำความร้อน หรือทิ้งไว้ในรถยนต์ระหว่างอากาศร้อน แสงสว่างจากดวงอาทิตย์หรือแหล่งกำเนิดแสงเทียมที่สว่างจัดเกินไป ความร้อน หรือความเย็นทำให้เครื่องสำอางเสื่อมได้อย่างรวดเร็ว มีข้อยกเว้นเพียงครีมหรือโลชั่นที่จะอยู่ได้นานขึ้นหากเก็บไว้ในตู้เย็นระหว่างฤดูร้อน หลายๆคนชอบเก็บโลชั่นสมานผิว(astringent) หรือโลชั่นชุ่มชื่นผิว(freshener) ไว้ในตู้เย็นเพื่อทำความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าให้เป็นพิเศษ
- ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับดวงตามีกฎเฉพาะตัว ถ้ามีแนวโน้มว่าจะแพ้ ให้เก็บเครื่องสำอางสำหรับดวงตาไว้เพียงแค่สามถึงสี่เดือนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเกิดข่วนแก้วตาขณะใช้มาสคาราโดยบังเอิญ แบคทีเรียจากดวงตาสามารถผ่านเข้าไปในหลอดมาสคารา และทำให้มาสคาราหลอดนั้นปนเปื้อนเชื้อโรคได้ หรือแม้ว่าคุณจะไม่มีวี่แววว่าจะแพ้ พวกมืออาชีพก็ยังแนะนำให้เปลี่ยนมาสคาราใหม่ทุกหกเดือน เพราะหลอดใส่มาสคาราที่เก่ากว่าหกเดือนอาจมีเชื้อแบคทีเรียได้ จึงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ดวงตามีค่าคุ้มกับการเสียเงิน
- น้ำหอมไม่ใช่สิ่งที่อยู่คงทนตลอดกาล มันสามารถรวมตัวกับออกซิเจน ทำให้สมดุลของน้ำมันและแอลกอฮอล์เปลี่ยนไป และมันยังระเหยได้ด้วย
ถ้าผิวเป็นประเภทแพ้ง่าย ขอให้จำไว้ว่า ยิ่งมีส่วนประกอบน้อยตัวในเครื่องสำอางก็จะมีสารเคมีที่จะทำให้ผิวระคายเคืองน้อยลง
โคโลญจน์ โลชั่นสมานผิว และน้ำหอมหลังโกนหนวดที่มีน้ำมันของมะกรูด หรือมะนาว หรือส้มสกัดอาจทำให้ผิวไวต่อแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นผื่นหรือพุพอง ซึ่งจะทิ้งรอยด่างบนผิว หลังจากการระคายเคืองหายแล้ว สารอื่นๆที่ทำให้ระคายเคือง ได้แก่ ควอเตอร์เนียม 15 (quaternium 15) หรือ ฟอร์มัลดีไฮด์(formaldehyde) ซึ่งใช้เป็นสารกันเสียในน้ำหอม สารไอโซโปรเปิล ไมริสเตต(isopropyl myristate) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวดูดซับสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้มากขึ้น สารโปรไปลีน กลีคอล(propylene glycol) อันเป็นสารที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นซึ่งพบได้ในครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น(moisturizer)
เครื่องสำอางที่ควรมองหาคือชนิดที่มีขี้ผึ้งไฮโดรฟิลิคยูเอสเอสพี(hydrophilic ointment USSP) ยูเรีย(urea) และน้ำมันแร่(mineral oil) สามารถบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไฮโดรฟิลิค โดยเทใส่อุ้งมือเล็กน้อย แล้วเติมน้ำสักสองสามหยดแล้วถู ถ้าของเหลวนั้นหายไปง่ายๆ แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไฮโดรฟิลิค
โดยทั่วไปยากันบูดจำเป็นต้องเติมในเครื่องสำอางเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเจริญเติบโตในเครื่องสำอาง และทำให้เครื่องสำอางเสีย ตัวกลางที่ใช้ผสมน้ำและน้ำมันให้เข้ากันเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นครีมและทาง่าย แต่น้ำหอมส่วนใหญ่ สี และสารที่ทำให้ข้น เพียงแต่ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีราคาแพงขึ้นเมื่อเติมสิ่งเหล่านี้ลงไป โดยที่จริงๆแล้วไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลย
--------------
|
 |
|
|
Post Number: 13
|
เก็จแก้ว 
กลางเก่ากลางใหม่

   
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 486
เข้าร่วมเมื่อ: 24 May 2006
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 19 Apr. 2007,23:15 |
|
 |

ริมฝีปาก
จากการศึกษาของนักจิตวิทยาพบว่า คนที่มีริมฝีปากอิ่มเต็มจะแลดูมีความสุขมากกว่าคนที่มีริมฝีปากบาง ไม่ว่าริมฝีปากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าเรามีสภาพจิตใจอย่างใด ถ้าต้องการเปลี่ยนริมฝีปากจากริมฝีปากอิ่มเต็มให้ดูบางลงได้โดยเปลี่ยนเส้นขอบปากเล็กน้อย แน่นอนต้องไม่แต่งเกินเลยไปจนกลายเป็นปากตัวตลก ถ้าคิดว่าริมฝีปากหนาเกินไป ให้เขียนเส้นขอบปากเข้าไปในเส้นริมฝีปากจริง แต่ถ้าต้องการปากอิ่มเต็มขึ้นให้เขียนเส้นของปากเลยออกมานอกเส้นขอบปากจริง
ถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนเส้นขอบปาก ให้เขียนเส้นริมฝีปากบนเป็นรูปตัวเอ็ม(M) แล้วจึงเขียนเส้นริมฝีปากล่างจากมุมปากทั้งสองด้านไปกลางริมฝีปาก หลังจากเขียนเส้นรอบริมฝีปากแล้วจึงทาลิปสติคให้เต็มริมฝีปาก เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดให้ใช้แปรงสำหรับทาริมฝีปาก
สีของลิปสติคโดยปรกติจะต้องเลือกให้เข้ากับสีของเสื้อผ้าที่สวม ในขณะที่เครื่องสำอางชิ้นอื่นๆจะต้องสัมพันธ์กับบุคลิก
ผู้หญิงส่วนใหญ่มีลิปสติคสีต่างๆ หลายแท่ง คนส่วนใหญ่ใช้ลิปสติค หรือลิปมันโทนสีแดงได้ แต่มีแนวทั่วไปเกี่ยวกับสีอยู่ว่า ผู้หญิงผิวขาวควรใช้ลิปสติคโทนสีชมพู ส่วนผู้หญิงผิวซีดเซียวควรใช้โทนสีลูกท้อ หรือสีน้ำตาล สารเคมีบนผิวสามารถเปลี่ยนสีลิปสติคที่ทาได้ จึงไม่ควาเลือกสีลิปสติคเพราะเห็นคนอื่นทาแล้วสวย
เพื่อให้แลดูเป็นธรรมชาติ ควรทาลิปสติคบางๆในแสงเจิดจ้าของกลางวัน หรือแสงจัดจ้าในสำนักงาน กฎข้อนี้ใช้กับการใช้เครื่องสำอางชนิดอื่นๆด้วยเช่นกัน
เคล็ด (ไม่) ลับบางประการในการทาปาก
- ถ้าลิปสติคที่ทาชอบจางหาย ให้ลองทารองพื้นและแป้งทาหน้าบนริมฝีปากก่อนทาลิปสติค
- ลิปสติคจะติดทนขึ้นถ้าทาลิปสติคครั้งหนึ่งแล้วซับออกเอาแป้งฝุ่นตบแล้วจึงทาซ้ำ
- ผู้หญิงบางคนชอบทาลิปสติค ซับออก แล้วทาลิปมันแบบไม่มีสีทับเพื่อปกป้องสีลิปสติคและยังช่วยให้ลิปสติคติดทนขึ้นด้วย
- ถ้าลิปมันแบบไม่มีสีหรือลิปสติคสีเนื้อใช้ไม่ได้สำหรับคุณ แต่ก็ไม่อยากทาลิปสติคสีแดงแจ๋ ให้ลองเขียนเส้นรอบปากด้วยดินสอเขียนขอบปากสีแดงลูกเชอรี่ หรือแดงธรรมชาติ แล้วจึงทาลิปมันไม่มีสี หรือลิปสติคสีเนื้อ สีจากขอบปากจะสะท้อนผ่านลิปมันเน้นให้เห็นรูปปาก ด้วยสีแดงเรื่อๆ เป็นธรรมชาติไม่ใช่ด้วยลิปสติคสีแดงแจ๊ด
- ถ้าไม่ชอบให้เห็นเส้นขอบปากลอยเด่นออกมา ให้คุณใช้ลิปไลเนอร์(lip liner)สีเดียวกับลิปสติค ให้ลองเขียนเส้นบนฝ่ามือเวลาลองสีที่ร้านเพื่อดูว่าสีที่เลือกจะเข้าคู่กันหรือกลมกลืนกันไหม
- ถ้าต้องการเน้นริมฝีปาก ให้ลองใช้ดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาลเขียนที่มุมปาก ตรงมุมปากเท่านั้นจริงๆ อย่าให้เลยออกมาข้างนอก
- อีกจุดหนึ่งที่จะเน้นได้คือให้แต้มจุดสีขาวตรงกลางริมฝีปาก หลังจากเขียนเส้นขอบปากด้วยดินสอแล้ว แล้วจึงทาลิปสติคให้เต็ม
- ถ้าหาอุปกรณ์แต่งหน้าแบบพวกละครละก้อ ขอแนะนำว่า คาบูกิ เค้ก (kabuki cake) สีแดงที่พวกนักแสดงใช้ทารอบๆตา นำมาใช้ละเลงบนปากได้เช่นกัน วิธีใช้เหมือนสีน้ำคือ ให้ใช้กับแปรงเปียกๆสีแดงของคูบูกิ เค้ก จะติดทนทานตลอดวัน แม้คุณจะรับประทานอาหาร สีก็ไม่หลุด
- เนื่องจากสีของลิปสติคประเภทติดทนมักจะด้าน ถ้าต้องการให้แลดูมันวาว ให้ทาลิปมันแบบไม่มีสีทับ ถ้าใช้ลิปมันตัวเดียวโดดๆ สีของลิปมันจะไม่มีความทนเลย
- พยายามอย่าเลียริมฝีปากเพราะจะทำให้ลิปสติคหลุด
- แม้ว่าลิปไลเนอร์จะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้ทาทั้งริมฝีปาก แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่พบว่า ริมฝีปากของเธอติดสีได้ดีขึ้นเมื่อเธอใช้ลิปไลเนอร์ทาด้วย
- อย่าลืมว่าเยลลีปิโตรเลียมนอกจากจะช่วยเพิ่มความมันวาวแล้วยังช่วยรักษาริมฝีปากแห้งแตกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นรองพื้นให้สีลิปสติคที่คุณผสมสีเองได้เป็นอย่างดี
สีที่ใช้ในลิปสติค
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ(National Cancer Institute) ได้เข้ามาทดสอบสีจำนวนมากมาหลายปีแล้ว เนื่องจากความห่วงใยของคณะกรรมการอาหารและยาของอเมริกา(U.S. Food and Drug Administration) มีการค้นพบว่าสีหลายตัวก่อให้เกิดมะเร็ง สารที่ก่อให้เกิดมะเร็งซึ่งเรียกกันว่าคาร์ซิโนเจน(carcinogen) ประกอบด้วยสีแดง หมายเลข 19, 37, 8 และ 9 ซึ่งใช้ในยาและเครื่องสำอาง(D & C reds ย่อมาจาก drug and cosmetic reds) สีพวกนี้ถูกสั่งห้ามใช้ สีที่ใช้ในยาและเครื่องสำอางที่ปลอดภัยได้แก่ สีแดงหมายเลข 21 สีส้มหมายเลข 5 จะอย่างไรก็ตาม ขอให้อ่านฉลากก่อนซื้อด้วยนะคะ
--------------
|
 |
|
|
Post Number: 14
|
pilgrim 
เก่าสุดๆ

      
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 2230
เข้าร่วมเมื่อ: 16 Jun. 2005
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 24 Apr. 2007,03:18 |
|
 |
นั่นสิ น้องแก้ว พี่น่ะคงกินสีในลิปสติกเข้าไปหลายแล้วละ
ขอบคุณนะคะ สำหรับข้อมูลดีๆที่เอามาแบ่งกันอ่าน พี่พิลชอบพวก ครีมพอกหน้าจากธรรมชาติค่ะ มีอีกไหมคะ ประเภทที่ทำจากมะขาม มะนาวก็น่าสนนะคะ
--------------

All days come from one day.
|
 |
|
|
Post Number: 15
|
เก็จแก้ว 
กลางเก่ากลางใหม่

   
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 486
เข้าร่วมเมื่อ: 24 May 2006
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 24 Apr. 2007,07:09 |
|
 |
ขอบคุณค่ะพี่พิลที่มาเป็นแม่ยก... ตอนนี้แก้วยังไม่มีครีมพอกหน้าซักสูตรเลยค่ะ... แต่ถ้าพี่พิลอยากได้...ไว้คราวหน้า คราวหลังแก้วจาหามาฝากนะคะ
ตอนนี้ดูรูปสาวสวยไปก่อนละกันนะคะ 

อิ อิ
โธ่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.... แก้วโหลดรูปผิดอ่ะค่ะ ... แก้วว่าแก้ว มอบดอกไม้สวยๆให้พี่พิลดีกว่าเนาะ

รักพี่พิลที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
--------------
|
 |
|
|
Post Number: 16
|
เก็จแก้ว 
กลางเก่ากลางใหม่

   
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 486
เข้าร่วมเมื่อ: 24 May 2006
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 19 May 2007,18:19 |
|
 |
แก้วมีสูตรพอกหน้า+พอกตัว ที่ใช้ส่วนผสมจากมะขามเปียกแล้วล่ะค่ะ แต่ไม่ทราบที่มาแน่ชัดนะคะ เป็นสูตรที่ทำง่ายๆค่ะ แก้วไม่ทราบว่าสูตรนี้ท่านใดเป็นผู้คิดค้นนะคะ จะอย่างไรก็แล้วแต่... แก้วขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ...
พี่พิลจ๋า.. พี่พิลจ๋า ได้เวลาแย้วจ้า... มามะ.. มาหม่ำ เอ๊ย... มาเสริมฟามงามกันเหอะจ้ะ (เผื่อจาสวยใส.. ปิ๊ง ปิ๊ง แบบแม่นางคนข้างล่างมั่งเนาะ )

ส่วนผสม
1. น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา 2. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนชา 3. ขมิ้นผง 1 ช้อนชา 4. มะขามเปียก 1 ก้อน 5. น้ำอุ่น
ขั้นตอนการทำ
นำน้ำอุ่นใส่ถ้วยพอประมาณ แช่มะขามเปียก 1 ก้อน หลังจากนั้นทิ้งไว้ 5 นาที เพื่อให้ได้น้ำมะขามเปียกละลายปนมากับน้ำ จากนั้นนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา, โยเกิรต์รสธรรมชาติ 1 ช้อนชา , ขมิ้นผง 1 ช้อนชา เทลงในถ้วยที่ใส่น้ำมะขามเปียก
คนให้ได้ที่... แล้วนำมาหม่ำ.. เอ๊ยยย...นำมาพอกหน้า พอกตัว ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดค่ะ
เห็นป่าวคะ.. สูตรนี้ทำง๊าย.. ง่าย... และแก้วก้อขอให้ทุกท่านที่นำสูตรบำรุงผิวนี้ไปใช้มีผิวหน้า+ผิวกาย สวยใสกันถ้วนหน้านะคะ ..บ๊าย.. บายค่ะ
--------------
|
 |
|
|
Post Number: 17
|
แมวเหมียว 
แม่ครัวโจ๊กน้ำใส

      
กลุ่ม: ฅนทำความสะอาด
จำนวนโพสต์: 3991
เข้าร่วมเมื่อ: 23 Oct. 2003
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 22 May 2007,12:15 |
|
 |
โอยย กำลังอ่านเพลินๆ มาเจอ"ปาก"และ"ผม"ของจริงเข้าแล้ว ลืมสูตรที่แอบจำไปโม้ดเลย
น้องแก้วจ๋า พี่ว่าเอาปากวัวและผมน้องหมานั่นออกไปทีเถอะค่ะ อ่านแล้วหมดอารมณ์อยากสวยเลยจริงๆ
|
 |
|
|
Post Number: 18
|
เก็จแก้ว 
กลางเก่ากลางใหม่

   
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 486
เข้าร่วมเมื่อ: 24 May 2006
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 22 May 2007,13:14 |
|
 |
โธ่ๆๆๆ พี่แมวเหมียวจ๋า... ลองดูอีกทีซิจ๊ะ... แก้วว่า ปากน้องวัว กะผมน้องหมานี่น่าร๊ากกกกกกกกกก... น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกก... นะจ๊ะ นะจ๊ะ ขอบอก
แล้วถ้าเป็นน้องแมวเหมียวตัวเป็นๆแบบเนี้ยล่ะจ๊ะพี่แมวเหมียวจ๋า อ่านแล้วจาหมดอารมณ์อ๊ะป่าวน๊อออออ?

วันนี้แก้วนำฟอร์เวิร์ดเมล์มาฝากนะคะ... ส่วนความถูกต้องหรือไม่นั้น แก้วไม่ขอยืนยันค่ะ... แก้วจึงขอเตือนไว้ก่อนดีกว่านะคะ ว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านแล้วกันเด้ออออออออ
ชุดคำถาม หมวด ความสวยความงาม > > > > > > >1. > >กิน หวาน มากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาล อยู่ ในกระแสเลือดมากเกินไป >มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ ผิว ทำ >ให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และ >เหี่ยวย่น ในที่สุด > > >2. > >การยืนเอาปลาย นิ้ว มือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะ ปลาย นิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 >แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิต บริเวณหนังศีรษะ >และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใส ขึ้น > > >3. > >เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ >ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะ >แห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะ หาย > > >4. > >การสวมเสื้อผ้า หนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ > > > > >เฉลย > >ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะ ที่ >ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะ >ฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่า เดิม > > >5. > >คนผิวแห้งมีโอกาส เกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือ สารไขมัน >ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะ >ฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิว >มัน > > >6. > >การฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ >ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึง หายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 >ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้ > > >7. > >การ ร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วย เผา ผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ >ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวัน ละสัก 10 -15 นาที >จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มาก ถึง 50 แคลอรี > > >8. > >กาวตราช้างใช้ รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วย กาวตราช้าง >สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อม แซม >ตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออก ไป >แต่ ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง > > >9. > >การ เต้น รำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวัน ละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี >กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำ ให้เลือดลมเดินทั่วผิว >ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพ ดี > > >10. > >การใส่ กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริง หรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่ นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ >เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะ เมื่อ ผิวหนังเจอความหนาวเย็น >ทำให้เกิดเซลลูไลท์= A > > > > > > >ชุดคำถาม หมวด รู้ไว้ใช่ว่า > > > > > > >1. > >การแลบลิ้นให้น้ำลาย ยืดลงพื้น 3 หยด จะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แค ปไซซิน >ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิ >กริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป > > >2. > >ดูดนมยางของเด็กทารก ตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารก ไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง >ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือน สั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน >และไม่นอนอ้าปากอีก ด้วย > > >3. > >การสูดกลิ่นตัว ผู้ชาย ทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคน รักนั้นมีสาร ฟีโรโมน >ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลด >อาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้ > > >4. > >แอปเปิ้ลผลิตกระแส ไฟฟ้าได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่น ทอง แดง >กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็น เหมือน >แบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป ฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้ เช่น >กัน > > >5. > >ปัสสาวะ มนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว >และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึง เป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์ > > >6. > >วัวกระทิงเกลียดสี แดง จริงหรือ > > > > >เฉลย > >ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่ สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ >แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น >เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุ มากกว่า > > >7. > >เพชรแท้จะ ไม่ติดสีหมึก จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้าย น้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก >ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ >ก็แสดงว่าเป็นเพชร เทียม > > >8. > >การทะเลาะ กันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน >จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ด เลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล >หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำ ให้บาดแผลต่างๆ หายช้า > > >9. > >แสงแดด อ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการ สร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน >ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่ >แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึม >เซา ได้ > > >10. > >การฟัง เพลง ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมอง หลั่ง สารเอนดอร์ฟินส์ >ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ >บรรเทาอาการปวดข้อลงได้ > > > > > > >ชุดคำถาม หมวด กินเพื่อสุขภาพ > > > > > > > >1. > >กินน้ำมะนาวปั่น สามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการ ดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง >เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำ >ผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วย >ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไป ได้ > > >2. > >เมื่อ เป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียม สูง >เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียม สูง >จะส่งผลให้เกิดอาการชักได้ > > >3. > >มัน ฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่ เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส >มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิต ให้ ต่ำลง >และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีก ด้วย > > >4. > >ดื่มนม ร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริง หรือ > > > > >เฉลย > >ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบาย ยิ่งขึ้น >เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร > > >5. > >การเคี้ยวหมาก ฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้ คน ไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น >เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็น การ >บริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด >ซึ่ง ทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพัก หนึ่ง > > >6. > >การกินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มี ชื่อ ว่า ทริปโตพัน >ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับ ได้ สนิทดีขึ้น > > >7. > >กินส้ม ช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือก เอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย >และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวน ที่ เพียงพอ >ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมา ด้วย > > >8. > >การกินช็อคโกแล๊ต ช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ต มีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ >จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำ หน้าที่เกี่ยวกับการไอ >ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ ผล > > >9. > >การกิน บ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการ เหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง >ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 >ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึง ช่วย ถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน >เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มาก อีก ด้วย > > >10. > >การกิน อาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริง หรือ > > > > >เฉลย > >จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัว ง่ายกว่าปกติ >จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้ น้อยลง >สมองจึงค่อยๆ เสื่อม
--------------
|
 |
|
|
Post Number: 19
|
เก็จแก้ว 
กลางเก่ากลางใหม่

   
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 486
เข้าร่วมเมื่อ: 24 May 2006
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 03 Jun. 2007,08:40 |
|
 |
วันนี้แก้วมีเคล็ดลับความงามมาฝากค่ะ ขอเรียนว่า ไม่ใช่ความงามที่เกิดจากภายนอกนะคะ... เป็นความงามที่เกิดมาจากภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า และความงามนี้ยังสามารถสะท้อนออกมาทางกายภาพได้ด้วย นั่นก็คือ เมื่อใจสบาย กายก็จะสบายด้วยเช่นกันค่ะ

วิธีทำให้เป็นคนงาม
มนุษย์มักจะสนใจตัวเอง อยากมีความสุข ถ้าหากมีความสุขแล้วก็จะเกิดกำลังใจ ทำงานได้ดีขึ้น เคล็ดลับอย่างหนึ่งในการที่จะมีความสุขได้ก็คือ การรู้จักยอม ถ้าเป็นคนไม่ยอมใครเลยก็คงหาความสุขได้ยาก อาจจะมีปัญหา หรือศัตรูมากขึ้น บางคนก็เสียโอกาสดีๆในชีวิตเพราะไม่รู้จักยอมนี่แหละ นอกจากความสุขแล้ว มนุษย์ก็อยากเป็นคนสวยงามด้วย ทำให้นึกถึงธรรมะที่ทำให้งาม ซึ่งมีอยู่ 2 ข้อ
1.ขันติ : ความอดทน คือคนที่รู้จักอดทน จะไม่แสดงกิริยาของความทุกข์ออกมาให้เห็นประจักษ์ ไม่ว่าจะทุกข์ทางกายหรือทุกข์ใจ จะไม่บ่น ไม่แสดงสีหน้า ไม่แสดงอารมณ์ของความผิดหวัง ความโกรธ ความทุกข์ ความอดทนเป็นเรื่องของความรู้สึกจากภายใน ต้องควบคุมจากภายใน
2.โสรัจจะ : ความสงบเสงี่ยม ซึ่งจะเกิดได้จากการรู้จักพิจารณาสิ่งที่มากระทบกายและใจที่เราไม่ชอบและรู้ว่าถ้าโต้ตอบออกไปด้วยสิ่งที่ไม่ดีนั้น จะไม่เกิดประโยชน์ แต่จะรู้จักแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆด้วยการใช้ความดี
ใครมีธรรมะทั้ง 2 ข้อนี้เป็นคนงาม มองดูแล้วมีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่ น่าศรัทธา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับที่ 1061 ปีที่ 19
--------------
|
 |
|
|
Post Number: 20
|
pilgrim 
เก่าสุดๆ

      
กลุ่ม: สมาชิกประจำ
จำนวนโพสต์: 2230
เข้าร่วมเมื่อ: 16 Jun. 2005
อัตรานิยม: ไม่มี
|
 |
โพสต์เมื่อ: 13 Jun. 2007,21:15 |
|
 |
น้องแก้วคะ พี่ชอบตรงที่ พูดคุย เสียแคลอรี่ราวๆ 10-20 ต่อสิบนาทีน่ะค่ะ
โห ขนาดเม้าก็เผาผลาญแคลอรีได้นะเนี่ย ฮิๆๆๆๆๆ
--------------

All days come from one day.
|
 |
|
|
|